ใช้แก้มลิงรับมือน้ำท่วม

กรมชลประทาน ย้ำแนวทางบริหารจัดการน้ำในปัจจุบัน ลดผลกระทบให้น้อยที่สุด  ใช้ทุ่ง-แก้มลิงรับน้ำ คาดกลางเดือนตุลาคม ส่วนปริมาณน้ำที่ระบายจากเขื่อนป่าสักฯ  จะไม่กระทบพื้นที่ด้านท้ายเขื่อน

นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา  ปัจจุบัน (4 ต.ค. 59) เขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,717 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จากปริมาณน้ำที่ได้มีการระบายสูงสุด 1,998 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในช่วงวันที่ 29 ก.ย. - 1 ต.ค. 59 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลดลงอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 20–30 เซนติเมตร กรมชลประทาน ยังคงระบายน้ำออกสู่อ่าวไทยอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ช่วยระบายน้ำในช่วงน้ำทะเลลง รวมปริมาณน้ำที่ได้ระบายลงสู่ทะเลตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. – 4 ต.ค. 59 ประมาณทั้งสิ้น 206 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักในช่วงเดือนตุลาคม ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ไว้อย่างใกล้ชิดต่อไป

       
สำหรับการผันน้ำเข้าทุ่งแก้มลิงต่างๆ นั้น กรมชลประทาน ได้วางแผนใช้ทุ่งต่างๆที่เป็นแก้มลิงเอาไว้รองรับน้ำ เพื่อลดปริมาณน้ำที่จะเกิดจากฝนตกหนัก ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าร่องความกดอากาศต่ำจะพาดผ่านภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ทำให้มีฝนตกชุกตั้งแต่ต้นเดือนไปจนถึงกลางเดือนตุลาคม 2559 การพร่องน้ำรอในช่วงนี้จะทำให้มีพื้นที่รองรับน้ำที่จะมาอีกระลอก ซึ่งจะเกิดประโยชน์มากกว่าการเอาน้ำเข้าก่อนหน้านี้ หากเกิดปริมาณน้ำจำนวนมากไหลหลากลงมา จะทำให้ไม่มีที่เก็บกักและชะลอน้ำเอาไว้ ซึ่งปริมาณน้ำดังกล่าวจะไหลลงมาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว อาจจะเกิดความเสียหายแผ่กว้างกว่าที่เป็นอยู่ เพราะปริมาณน้ำจะไหลข้ามคันกั้นน้ำทำให้การควบคุมปริมาณน้ำเป็นไปด้วยความยากลำบาก


 ด้านดร.ทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวต่อว่า สถานการณ์น้ำในเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ขณะนี้มีพื้นที่เพียงพอที่จะรับปริมาณน้ำ ที่จะเกิดจากฝนตกเหนือเขื่อนได้ทั้งหมด ส่วนเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนยังอยู่ในเกณฑ์มาก  ทำให้ต้องระบายน้ำในอัตราวันละ 40 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยจะสามารถเก็บกักน้ำได้เต็มอ่างฯ ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ กรมชลประทานได้วางแผนบริหารจัดการน้ำบริเวณท้ายเขื่อนป่าสักฯ ด้วยการใช้เขื่อนพระรามหกเป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำ โดยบริเวณเหนือเขื่อนพระรามหก จะแบ่งรับน้ำเข้าคลองระพีพัฒน์ ในปริมาณ 150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และควบคุมปริมาณน้ำให้ไหลผ่านเขื่อนพระรามหกในเกณฑ์ไม่เกิน 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ปัจจุบัน(4 ต.ค.59) มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 536 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที  โดยไม่มีพื้นที่ใดได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักฯในครั้งนี้

     
อนึ่ง ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก เริ่มจะมีฝนตกหนักลงมาเพิ่มเติม กรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำในระบบชลประทาน โดยการพร่องน้ำให้อยู่ในระดับเก็บกักต่ำสุด เพื่อให้มีพื้นที่รองรับปริมาณน้ำที่จะเกิดจากฝนตกหนักลงมาอีก จากอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ำที่จะเคลื่อนลงมาสู่พื้นที่ภาคกลางตอนล่างในโอกาสต่อไป


ความคิดเห็น