"คนไทย"ในญี่ปุ่นอยู่ผิดกฏหมายเกือบหมื่น

"กรมกิจการสตรีฯ"ถกสถานการณ์คนไทยในญี่ปุ่น เผยอยู่ผิดกฏหมายเกือบหมื่น พบปัญหาไม่รู้ภาษา-กม.กระทบประกันสุขภาพ-อาชีพ แนะช่องทางช่วยเหลือทำโมเดลขยายผลไปประเทศอื่น

นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  มอบหมายให้นางสาววิจิตา รชตะนันทิกุล รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เป็นประธานในการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทำแนวทางการพัฒนาระบบการให้ความช่วยเหลือสตรีและครอบครัวไทย ของเครือข่ายหญิงไทยในต่างประเทศ ณ โรงแรม Prince Hotel Sunshine City กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น



โดยมีวิทยากรร่วมจากกระทรวงการต่างประเทศ ได้แก่ อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (นางสาวแคทรียา ปทุมรส) ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทย  ในต่างประเทศ กรมการกงสุล (นายบัญชา ยืนยงเจริญ) พร้อมด้วยคณะ และผู้แทนกรมบัญชีกลางเข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีเครือข่ายหญิงไทยในประเทศญี่ปุ่นเข้าร่วมการประชุมทั้งสิ้น 32 คน จากจำนวน 30 เครือข่าย ในประเทศญี่ปุ่น 

อาทิ เครือข่ายคนไทยในญี่ปุ่น สมาคมเด็กไทยกรุ๊ป กลุ่มคนไทยในไซตามะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอาชีพหลากหลาย เช่น อาจารย์ นักกฎหมาย ล่าม พนักงานของรัฐญี่ปุ่น ลูกจ้างทั่วไป แม่บ้าน เป็นต้น อายุระหว่าง 30-70 ปี ทั้งนี้ ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับ สถานการณ์ทั่วไป สภาพปัญหา และข้อเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ



สถานการณ์ทั่วไป พบว่ามีคนไทยอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 51,003 คน เป็นหญิง 72% เป็นชาย 28% พำนักระยะยาว 61.2% และพำนักผิดกฎหมาย จำนวน 6,860 คน สภาพปัญหาหญิงไทยและครอบครัวที่สำคัญ คือ การสื่อสารภาษาญี่ปุ่น ความรู้เรื่องกฎหมาย ซึ่งผลมาจากการไม่รู้ภาษาและกฎหมาย ส่งผลให้เกิดปัญหา  การประกันสุขภาพ การประกอบอาชีพ เศรษฐกิจในครอบครัว การเลี้ยงดูบุตร ความเข้าใจวัฒนธรรมของญี่ปุ่น 

บทบาทของเครือข่ายหญิงไทยในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการรวมตัวกันตามภูมิภาคต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือโดยตรงหรือผ่านช่องทาง social media ทาง facebook และ Line Group โดยกระบวนการให้ความช่วยเหลือ ส่วนใหญ่ จะเป็นการให้คำปรึกษา การส่งต่อ case ไปยังสถานทูตไทย หรือสถานกงสุล สมาคม มูลนิธิ เพื่อให้การช่วยเหลือ ทั้งกรณีความรุนแรง การเงิน หรือส่งกลับ โดยความถี่ในการช่วยเหลือหญิงไทย ประมาณวันละ 10-15 ราย นอกจากนี้ กลุ่มเครือข่ายหญิงไทย ได้มีการจัดทำเอกสารแปลภาษาญี่ปุ่นเป็น ภาษาไทย เช่น คู่มือด้านสุขภาพ คู่มือเรียนอักษรภาษาญี่ปุ่น (คันจิ) เพื่อเป็นการเผยแพร่และแบ่งปันการเรียนรู้ซึ่งกันและกันโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายด้วย
    


สำหรับผลสรุปของการดำเนินโครงการ พบว่า กลุ่มเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการ มีความพึงพอใจอย่างมาก และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างแข็งขัน มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐเพื่อการช่วยเหลือหญิงไทย ที่ประสบปัญหาต้องการความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม ต่อเครือข่ายหญิงไทยให้มีการทำงานลักษณะเพื่อนช่วยเพื่อน self help group อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน ได้แก่ อบรมให้ความรู้แก่หญิงไทย ก่อนเดินทางไปอยู่ประเทศญี่ปุ่น

2) ระบบการประสานส่งต่อการช่วยเหลือหญิงไทย การเชื่อมโยงข้อมูลการช่วยเหลือของเครือข่ายหญิงไทย และภาครัฐ ทั้งในประเทศญี่ปุ่น และประเทศไทย 3) การอบรมวิธีการให้ความช่วยเหลือหญิงไทยของกลุ่มเครือข่ายโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเครือข่าย 4) การสนับสนุนการจัดทำโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ การมี license สำหรับล่าม ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือหญิงไทย



6) สายด่วนการช่วยเหลือ เช่น 1300 ควรเพิ่มช่องทางเร่งด่วน ผ่าน socail media : facebook/ line/ เว็ปไซต์  ทั้งนี้ในส่วนของเว็ปไซต์ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว อยู่ระหว่างการปรับปรุงเว็ปไซต์ “เครือข่ายหญิงไทย ในต่างประเทศ” (yingthai.dwf.go.th) เพื่อให้เป็นช่องทางหนึ่งสำหรับเครือข่ายหญิงไทยในต่างประเทศในการประสานการดำเนินงานกับภาครัฐ 

โดยเห็นว่า การจัดกิจกรรมเครือข่ายหญิงไทย ในครั้งนี้ ควรจะมีการติดตามผลในปีต่อไป และสามารถเป็นแบบอย่าง model ขยายผลไปยังประเทศอื่น ๆ อาทิ สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อสร้างภาคีเครือข่ายหญิงไทย ให้เป็นภาคประชาคมทำงานคู่ขนานกับภาครัฐ ในการลดผลกระทบของผู้หญิงไทยในต่างประเทศ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืน SDG เป้าประสงค์ที่ 5 ด้านความเสมอภาคของสตรี ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาของสตรีในกลุ่มเสี่ยงต่อพหุวัฒนธรรม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังด้วย



 

ความคิดเห็น