สพฉ.เสวนา"นวัตกรรมเทคโนโลยีระบบการแพทย์ฉุกเฉินยุคใหม่"พัฒนาระบบบริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินแก่ผู้ป่วย ผุดนวัตกรรม OIS ช่วยผู้ป่วยฉุกเฉินจากต้นทาง-ปลายทางเตรียมประสาน GOOGLE เปิดระบบ AMLที่เครื่องโทรศัพท์ ระบุพิกัดผู้ป่วยฉุกเฉินผ่านโทรศัทพ์ได้ปกติแม้ไม่มี Application
ในการจัดการประชุมวิชาการการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติครั้งที่ 13 ประจำปี 2562 ภายใต้หัวข้อ "มุ่งสู่ยุคใหม่การแพทย์ฉุกเฉินไทย" (Conference Program of National EMS Forum 2019 : Next Generation) ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้มีการจัดเสวนาพิเศษให้ข้อ "นวัตกรรมเทคโนโลยีระบบการแพทย์ฉุกเฉินยุคใหม่" Ems System Technology Innovation" โดยมีวิทยากรในด้านการปฏิบัติในระบบการแพทย์ฉุกเฉินเข้าร่วมเป็นวิทยากร
นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า การพัฒนาเรื่องของเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารและสารสนเทศ เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินประสบผลสำเร็จเนื่องจากที่ผ่านมาเราพบปัญหาและอุปสรรคในการช่วยเหลือฉุกเฉินอยู่หลายส่วน โดยเฉพาะประชาชนในกลุ่มประชากรเปราะบาง
สพฉ.จึงต้องเร่งพัฒนาให้ประประชาชนทุกคนได้มีโอกาสในการเข้าถึงการให้บริการในนะบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งในขณะเดียวกันในเชิงป้องกันก็มีความสำคัญทีเราจะพัฒนาควบคู่กันไปด้วย โดยการพัฒนาทั้งสองสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่จะเข้ามาช่วยหนุนเสริมการพัฒนาก็คือเทคโนโลยี ซึ่งในแต่ละพื้นที่เรามีผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินหลายกลุ่ม ถ้าต่างคนต่างทำ จะทำให้การช่วยเหลือไม่เป็นระบบเดียวกัน เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบกลางขึ้นมา เพื่อให้พื้นที่นำไปใช้ร่วมกันได้ ทั้งรัฐและเอกชน
รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการพัฒนานั้นสพฉ.ได้อาศัยภาครัฐหลายหน่วยงานมาให้ความรู้ มาช่วยในการคิดนวัตกรรมต่างๆเพื่อพัฒนาระบบดิจิทัลเรียลไทม์การให้บริการทางด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น การสื่อสารด้วยอินเตอร์เน็ทมีทั้งภาพ เสียง และวีดีโอ
การพัฒนาการช่วยเหลือกลุ่มผู้พิการทางการได้ยินให้เข้าถึงการให้บริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินผ่านล่ามภาษามือ หรือแม้กระทั่งชาวต่างชาติสามารถใช้ระบบแปลภาษาได้โดยไม่ต้องใช้ล่าม หรือพื้นที่ที่ห่างไกลเราก็จะมีระบบดาวเทียม ระบบวิทยุ อินเตอร์เน็ต เพื่อสนันสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดต้องให้ทุกหน่วยงานพิจารณาร่วมกันโดยใช้ระบบกลางมาดำเนินการ
ซึ่งทั้งหมดนี้เรียกว่าระบบปฏิบัติการ OIS ที่สามารถเชื่อมต่อกับแพทย์ดำเนินการ โดยแพทย์จะรู้ถึงสัญญาณชีพหรือคลื่นหัวใจของผู้ป่วย แพทย์จะเห็นคนไข้ผ่านกล้อง และระบบสามารถดึงลายพิมพ์นิ้วมือ เพื่อดูข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วยซึ่งแพทย์จะนำข้อมูลเหล่านั้นมารักษาผู้ป่วยอย่างทันท่วงทีได้" นพ.ไพโรจน์กล่าว
ที่สำคัญคนพิการหรือหูหนวกตาบอด สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง ไม่เท่านั้นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็สามารถเข้าถึงด้วยการแปลภาษาได้อีกด้วย สำหรับในประเทศไทยสิ่งที่แรกที่เราจะต้องทำคือระบบคอลเซ็นเตอร์ที่เราจะต้องสามารถวีดีโอคอลรวมได้ด้วยรวมทั้งยังคงระบบซัพพอร์ทเพื่อใช้กับระบบเดิมในการเพิ่มประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามการแจ้งเหตุฉุกเฉินความสำคัญอยู่ที่การทราบพิกัดยกตัวอย่างเช่นในต่างประเทศจะทีระบบ AML หรือการส่งพิกัดทางมือถือแบบอัตโนมัติเพื่อมาช่วยในเรื่องนี้ ยกตัวอย่างกรณีที่มีนักปีนเขาโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือเมื่อโทรมาที่เบอร์ฉุกเฉินแล้วสายได้ถูกตัดหรือขาดการติดต่อไปหากเป็นระบบเดิมก็จะไม่สามารถทราบถึงพิกัดแต่เมื่อมีระบบ AML นี้ขึ้นมา
รศ.ดร.อัศนีย์ ก่อตระกูล ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้เฉพาะด้านวิศวกรรมความรู้และวิศวกรรมภาษา มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของผู้ป่วยในระบบการแพทย์ฉุกเฉินปัจจุบันนี้เราได้เก็บข้อมูลผ่านกระดาษหรือไม่ เพราะหากเก็บข้อมูลในกระดาษเพียงอย่างเดียวจะทำให้ประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนข้อมูลลดลง จึงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนมาเป็นระบบดิจิตอล
ดร.ธีรวัฒน์ อิสสริยะกุล ผู้จัดการส่วนบริหารความปลอดภัยและมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ระบบเอไอหรือ หุ่นยนต์ จะเข้ามามีบทบาทหลักในการทำงานของทุกภาคส่วน ทุกอย่างกำลังจะเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งระบบการแพทย์ฉุกเฉินก็สามารถทำได้ โดยเฉพาะขณะนี้หลายประเทศได้มีการเปิดให้ใช้บริการ 5G แล้ว
นอกจากนี้ต้องระวังเรื่องการปล่อยไวรัสเรียกค่าไถ่ ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยด้วย เพราะถูกไวรัสเรียกค่าไถ่หรือ ransom were โดยโรงพยาบาลไม่สามารถนำส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน มารักษายังโรงพยาบาลได้ เพราะข้อมูลถูกโจมตี จนต้องส่งไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียง ส่งผลกระทบมากมาย เรื่องนี้ต้องระวัง
ดร.กิตติ วงศ์ถาวรวราวัฒน์ หัวหน้าทีมนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้เราได้นำระบบสื่อสารและสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉิน โดยการใช้ระบบ ITEMS 3 (OIS) Operation Information System ที่ติดตั้งระบบกับศูนย์รับแจ้งเหตุ หน่วยปฏิบัติการโรงพยาบาล และรถปฏิบัติการ
นอกจากนี้ระบบนี้ยังสามารถบอกให้ทราบถึงตำแหน่งจุดเกิดเหตุ ชุดปฏิบัติการที่ออกช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินคือชุดอะไร และรถฉุกเฉินกำลังแล่นไปที่ไหน ซึ่งเราจะรู้ถึงข้อมูลทั้งหมด ทั้งนี้เราต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ยังมีความคุ้นชินกับระบบอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะ หากที่จังหวัดอุบลราชธานีมีความสำเร็จแล้วเราก็จะขยายระบบนี้ไปทั่วประเทศ ทั้งนี้ข้อดีของระบบ OIS จะทำให้แพทย์เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรถและสามารถช่วยในการตัดสินใจเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น