เปิดเวทีรับฟังความเห็นกฏหมายจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

"เกษตรฯ"เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน หนุนการทำงาน สร้างประโยชน์ให้เกษตรกร

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการศึกษาวิจัยความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558  ว่า การประชุมรับฟังความคิดเห็นในวันนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้ริเริ่มให้มีการศึกษาผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายและความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 เพื่อนำผลการศึกษามาใช้ในการปรับปรุงกฎหมายให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่



ตลอดจนตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องเกษตรกรให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ สภาพเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละภูมิภาค รวมทั้งการค้นพบแนวทางใหม่ ๆ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองต่อการพัฒนาระบบและกระบวนการจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมและการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด ถือเป็นเรื่องที่ดีและสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นแหล่งที่มีความมั่นคงด้านอาหารของโลก และยังเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรด้วย

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม พื้นที่ทั้งประเทศมีประมาณ 321 ล้านไร่ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมถึง 149.25 ล้านไร่ มีเกษตรกรทั้งสิ้น 8,094,954 ครัวเรือน นโยบายของรัฐบาลรวมทั้งนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำอย่างเป็นระบบ ให้สามารถแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม การขาดแคลนน้ำภาคการผลิต น้ำอุปโภคบริโภค และเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำ ซึ่งการพัฒนาและขยายพื้นที่ชลประทานให้ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรม การจัดระบบการบริหารจัดการแหล่งน้ำ การใช้น้ำ และการบริหารจัดการน้ำในระดับไร่นาและชุมชนที่เชื่อมโยงกับระบบชลประทาน 



รวมทั้งการจัดรูปที่ดินและพัฒนาพื้นที่ดินให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความมั่นคง และเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สามารถเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านผลผลิตทางการเกษตรกับนานาประเทศได้ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่เป้าหมาย "ภาคเกษตรมั่นคง เกษตรกรมั่งคั่ง ทรัพยากรยั้งยืน

"การศึกษาผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายฯ จึงควรมีการรับฟังและปรับปรุงแก้ไขทุก ๆ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งการทำเกษตรกรรม เรื่องน้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ในการทำการเกษตร ซึ่งจะต้องกรอบ มีกฎหมาย เพื่อกำกับและควบคุมดูแลการบริหารจัดการน้ำ จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในการใช้ทรัพยากรน้ำร่วมกัน การปรับปรุงกฎข้อบังคับต่าง ๆ โดยจะต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง และควรให้เกษตรกรได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นด้วย ซึ่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้ หากมีรับฟังความคิดเห็น การปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ก็จะสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องเกษตรกรไปพร้อม ๆ กัน







ความคิดเห็น